วันนี้คุณเตรียมตัวตายหรือยัง โดยนพ.วิวัฒน์ วิริยกิจจา

วันนี้คุณเตรียมตัวตายหรือยัง โดยนพ.วิวัฒน์ วิริยกิจจา
ผมไปงานศพของนายตำรวจยศพันตำรวจเอกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นสามีของญาติผม เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขับรถเก๋งประสานงากับรถปิ๊กอัพ ทำให้คนขับเสียชีวิตทั้งคู่
ผมเชื่อว่านายตำรวจท่านนี้คงเป็นห่วงลูกเล็กๆ สองคนภรรยาสาวสวย และการงานที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายพล
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับญาติสาว ภรรยาของผู้เสียชีวิต จึงมอบความรู้เพื่อให้เธอก้าวข้ามห้วงแห่งความทุกข์ เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวแต่ต้องเลี้ยงลูกเล็กๆ สองคนในภาวะสังคมแบบนี้ ต้องยอมรับว่าลำบากมาก ผมให้แนวทางแก้ปัญหาว่า
๑. เข้าใจกฎของธรรมชาติ ทุกคนต้องตาย พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่เว้นกระทั่งปัญหาและความทุกข์ กาลเวลาจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
๒. อยู่กับปัจจุบันขณะ ถามตัวเองว่า วันนี้ควรทำอะไร แล้วลงมือทำ อย่านึกถึงพรุ่งนี้ เพราะจะยิ่งให้เราเป็นทุกข์
๓. หากัลยาณมิตรมาช่วย คนเราควรมีเพื่อน แต่สำหรับผู้หญิงต้องระวังเรื่องการคบหาโดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ ซึ่งมีโอกาสสร้างปัญหาให้เราได้ง่าย และอย่าลืมคนในครอบครัวที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเสมอ คือพ่อแม่ ญาติพี่น้อง
๔. ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด ผมบอกญาติว่าใจเย็นๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดีๆ แค่หลับตาเผลอแผลบเดี๋ยวก็จะผ่านไปสิบปีแล้ว
๕. หาข้อดีจากข้อเสีย การที่เสียสามีไป ทำให้ได้ข้อคิดอะไรบ้าง
๕.๑ เตือนให้เรารู้ว่าความตายเป็นของแน่นอน วันนี้เราเตรียมตัวตายหรือยัง
๕.๒ ความทุกข์จะบีบคั้นให้พัฒนาตนเอง เพื่อหาหนทางแก้ทุกข์ เมื่อแก้ทุกข์ให้ตัวเองได้แล้ว กรุณาช่วยผู้อื่นด้วย
๕.๓ ได้รู้รสชาติของชีวิต ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะรู้จักความสุขได้อย่างไร

ผมดูภาพยนตร์เรื่องกำเนิดสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสีตอนที่ท่านฝึกอสุภกรรมฐาน นั่งอยู่กับศพ ๔ ศพ ท่านท่องว่าตายแน่ๆ สักวันหนึ่งเราต้องตายแน่ๆ กลายเป็นผีเหมือนศพ ๔ ศพนี้
๖. เร่งสร้างกุศลกรรม อยู่ในศีลในธรรมให้มากขึ้น แล้วชีวิตจะพบกับความสุขอย่างแน่นอน
๗. หมั่นรักษาจิตใจของตนเองให้ดี ต้องตรวจตราดูใจของตนเองว่าจิตตกหรือไม่ ถ้าจิตตก ต้องรีบหาวิธีจัดการให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ทีนี้เรามาดูเรื่องการเตรียมตัวตายกันดีกว่า ซึ่งผมตั้งปณิธานไว้ว่าผมจะตายอย่างมีความสุข เราสามารถทำได้คือ
๑. เตรียมร่างกาย
ในอนาคตเราจะป่วยเป็นโรคอะไร สามารถทราบได้โดยอาศัยหลัก ๕ ประการ คือ
๑.๑ พ่อแม่เป็นโรคอะไร เรามีสิทธิ์เป็นโรคนั้นสูงมาก
๑.๒ เช็คจากผลตรวจสุขภาพ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด
๑.๓ ตรวจพิเศษ เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจหาโรคจากพันธุกรรมได้ ผมเคยไปตรวจเลือดเพื่อหาพันธุกรรมของโรคสมองเสื่อมปรากฏว่าโชคดีที่ไม่พบ ซึ่งหากใครตรวจพบ จะมีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนอื่น ๒๖ เท่า นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีต่างๆ อีกมากมาย
๑.๔ ตรวจจากธาตุเจ้าเรือนตามหลักแพทย์แผนไทย
๑.๕ วิเคราะห์พฤติกรรมต่างๆ เช่น ขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
พอรู้ว่าเราอาจจะป่วยเป็นอะไร มาจากสาเหตุอะไร ก็จัดการกับสาเหตุนั้นๆ เพื่อป้องกันปัญหา เพราะเราไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเบาหวานเหมือนพ่อแม่

๒. เตรียมจิตใจ
ต้องนึกว่าเราจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
ผิดพลาดต้องรีบแก้ไข
ผิด = ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
พลาด = ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ
ทำอะไรที่ไม่ควรทำไปแล้วก็รีบเลิกเสีย อะไรที่ควรทำแล้วยังไม่ได้ทำรีบทำ เสีย เช่น พาพ่อแม่ไปเที่ยว ไปทำบุญ ไปกินอาหาร ไปหาเพื่อน เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะพ่อแม่คือพระอรหันต์ในบ้าน ทำบุญกับพระอรหันต์ได้บุญยิ่งใหญ่

๓. เตรียมสังคม
ต้องเตรี ยมจัดการทรัพย์สมบัติ หนี้สิน ภาระหน้าที่ให้คนรอบตัว หากเราตายไปจะได้ไม่เป็นปัญหา ไมเคิล แจ๊คสัน เขาไม่คิดว่าจะต้องตาย เมื่อตายไป ทรัพย์สมบัติจึงกลายเป็นอสรพิษฆ่าลูก เมีย และญาติพี่น้อง ดังนั้นเรามาทำอสรพิษให้กลายเป็นต้นไม้ เพื่อปกป้องและยังความสุขให้วงศ์ตระกูลต่อไปดีกว่า

๔. เตรียมบอกหมอและญาติ ให้ ทราบเจตนาว่า เมื่อเจ็บป่วยใกล้ตาย ขอตายอย่างมีความสุข อย่ายื้อชีวิตให้เกิดความทรมาน ต้องบอกเจตนานี้ให้คนอื่นๆ รอบข้างทราบไว้ด้วย
๕. เตรียมความปรารถนา ยอดความปรารถนาของทุกคนคือ มีชีวิตอย่างแข็งแรง เดินเหินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้จนอายุ ๑๐๕ ปี พอถึงเวลาอันสมควรก็ขอให้นอนหลับแล้วจากไปอย่างสงบ
๖. เตรียมชีวิต การมีชีวิตที่ยืนยาวไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าคุณประโยชน์ต่อสังคม คุ้มค่ากับการเกิดมาชาติหนึ่ง
มาเตรียมตัวตายกันดีกว่าตายแน่ๆ สักวันหนึ่งเราต้องตายแน่ๆ กลายเป็นผีเหมือนศพ ๔ ศพนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น